๑. พระสังคิณี
กุสะลา ธัมมา
ธรรมที่เป็นกุศลให้ผลเป็นสุข มีกามาวะจะระกุศลเป็นต้น
อะกุสะลา ธัมมา
ธรรมที่เป็นอกุศลให้ผลเป็นทุกข์ มีโลภมูลจิตแปดเป็นต้น
อัพยากะตา ธัมมา
ธรรมที่เป็นอัพยากฤตเป็นจิตกลาง ๆ มีอยู่ มีผัสสะเจตนาเป็นต้น
กะตะเม ธัมมา กุสะลา ยัสมิง สะมะเย
ในสมัยใด ธรรมที่เป็นกุศลให้ผลเป็นสุข ย่อมบังเกิดขึ้นอย่างไรบ้าง
กามาวะจะรัง กุสะลัง จิตตัง
จิตที่เป็นกุศลให้ผลเป็นสุข ย่อมนำสัตว์ให้ไปเกิดในกามภพทั้งเจ็ด คือมนุษย์ ๑ สวรรค์ ๖
อุปปันนัง โหติ
ย่อมบังเกิดมีแก่ปุถุชนผู้เป็นสามัญชน
โสมะนัสสะสะหะคะตัง
เป็นไปพร้อมกับจิตด้วย ที่เป็นโสมนัสความสุขใจ
ญาณะสัมปะยุตตัง
ประกอบพร้อมด้วยญาณเครื่องรู้คือปัญญา
รูปารัมมะณัง วา
มีจิตยินดีในรูป มีรูปพระพุทธเจ้าเป็นต้น เป็นอารมณ์บ้าง
สัทธารัมมะณัง วา
มีจิตยินดีในเสียง มีเสียงท่านแสดงพระสัทธรรมเป็นต้น เป็นอารมณ์บ้าง
คันธารัมมะณัง วา
มีจิตยินดีในกลิ่นหอม แล้วคิดถึงการกุศล มีพระพุทธบูชาเป็นต้น เป็นอารมณ์บ้าง
ระสารัมมะณัง วา
มีจิตยินดีในรสเครื่องบริโภค แล้วก็ยินดีใคร่บริจาคเป็นทานเป็นต้น เป็นอารมณ์บ้าง
โผฏฐัพพารัมมะณัง วา
มีจิตยินดีในของอันถูกต้อง แล้วก็คิดให้ทานเป็นต้น เป็นอารมณ์บ้าง
ธัมมารัมมะณัง วา
มีจิตยินดีในที่จะเจริญพระสัทธรรมกรรมฐาน มีพุทธานุสสติเป็นต้น เป็นอารมณ์บ้าง
ยัง ยัง วา ปะนารัพภะ
อีกอย่างหนึ่งความปรารภแห่งจิต ก็เกิดขึ้นในอารมณ์ใด ๆ
ตัสมิง สะมะเย ผัสโส โหติ
ความกระทบผัสสะแห่งจิต จิตที่เป็นกุศลก็ย่อมบังเกิดขึ้นในสมัยนั้น
อะวิกเขโป โหติ
อันว่าเอกัคคตาเจตสิกอันแน่แน่วในสันดานก็ย่อมบังเกิดขึ้น
เย วา ปะนะ ตัสมิง สะมะเย
อีกอย่างหนึ่ง ธรรมทั้งหลายเหล่าใด ก็ย่อมบังเกิดขึ้นในกาลสมัยนั้น
อัญเญปิ อัตถิ ปะฏิจจะสะมุปปันนา
ธรรมทั้งหลายอาศัยซึ่งจิตทั้งหลายอื่นมีอยู่ แล้วอาศัยกันและกันก็บังเกิดมีขึ้นพร้อม
อะรูปิโน ธัมมา
เป็นแต่นามธรรมทั้งหลายไม่มีรูป
อิเม ธัมมา กุสะลา
ธรรมทั้งหลายเหล่านี้ ชื่อว่าเป็นกุศลให้ผลเป็นสุข แก่สัตว์ทั้งหลายแล